วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ตัวตนที่แท้จริงระหว่าง โอ่งน้ำกับคนตัดต้นไม้

   ในขณะนี้....พวกเราได้เข้าใจตัวตนที่แท้จริง
ของตัวเองหรือยัง ?

อะไร.....คือความจริง  อะไร....คือความคิดเห็นของผู้อื่น
  เพราะอย่างนี้แหละคับ เราทุกคนจำเป็นอย่างมากที่ต้องรู้ว่า เรานั้นเป็นอะไรกันแน่ที่ตัวตนที่แท้จริงของแต่ละคนนั้น ไม่เหมือนกันเลย เราจะมาบอกว่าเราตัดสิ่งต่างๆได้ไม่ดีเลย บางทีไม่ขาดเลยด้วยซ้ำเราโดนสังคมหลอกหลอมตัวเรามาตลอดว่าเราเป็นสิ่งนั้น มีคนมาบอกเราว่า คุณเป็นมีดนะ ต้องตัดสิ่งต่างๆ ให้ขาดได้สิ แต่จริงๆแล้วเราอาจไม่ใช่สิ่งนั้นเลยก็ได้ ก็สังคมนั้นเขานิยมยกย่องคนที่เป็นมีดกัน เพราะตัดสิ่งต่างๆได้ดี บางทีเราอาจเป็นโอ่งใส่น้ำก็ได้ คนละเรื่องกันเลย ไม่ใช่ว่าเราจะเป็นโอ่งใส่น้ำไม่ดีนะ มันมีคุณประโยชน์การใช้งานต่างกันเท่านั้นเอง แค่เมื่อเรารู้ว่าเราเป็นอะไร  เราก็เข้าไปอยู่ในที่ที่เราได้ใช้ความสามารถและประโยชน์ของเรา เรียกว่าอยู่ให้ถูกที่ถูกทางนั่นแหละดีเลิศ.

     ผมยกตัวอย่างง่ายๆ นะคับถ้าสมมุติ คุณเป็นโอ่งใส่น้ำ ความสามารถของคุณคือ เก็บน้ำได้เยอะๆ ดีสุด แต่คุณดันไม่รู้ตัวเองว่าตัวเองคือโอ่งนะ แถมไปเชื่อหรือฟังคนอื่นว่าคุณเป็นมีดไว้ตัดต้นไม้ คุณก็เอาตัวเองที่เป็นโอ่งไปตัดต้นไม้หน่ะสิคับ ตรงนี้มันบ้ามากๆ แถมก็ไปอยู่กับที่ๆเขานิยมตัดต้นไม้กันด้วยสิ ลองนึกภาพดูนะคับ คนแบกเอาโอ่งไปตัดต้นไม้เนี่ยนะ ตลกสุดๆ  แต่ถ้าคุณรู้ตัวเองว่าจริงๆแล้วคุณเป็นโอ่ง คุณเองก็จะรู้ตัวเองอย่างแท้จริงล่ะว่า เออเราต้องใส่น้ำไว้ในตัวสิดีที่สุด คุณก็รู้ว่าคุณจะต้องไปอยู่แถวไหนในสังคมหรืองานยังไง ที่คุณได้ใช้ประโยชน์สูงสุดจากตนเองเต็มที่ ก็ไปแถวบ้านต่างๆสิเค้าต้องการเรามากเลยนะตัวเราเองก็จะสนุกตื่นเต้น สบาย แล้วรู้สึกมีคุณค่าจริงๆ ก็ต้องเป็นเงื่อนไขแบบนี้เท่านั้นหล่ะคับ 
เพราะไอ้คนที่บอกว่าเราเป็นอย่างนู้น เป็นอย่างนี้ คุณทำอันนี้สิ คุณทำอันนี้ไม่ได้นะ มันยังไม่รู้ตัวเองเลยว่าจริงแล้ว ตัวตนที่แท้จริงมันเป็นอะไรกันแน่ มันก็ถูกครอบมาเหมือนกัน เพราะอย่างนั้นจึงไม่มีใครคนใดในโลกนี้ บอกเราได้ถูกต้องหรอกว่า เราเป็นอะไรกันแน่ ทางเดียวที่จะรู้ได้มีเพียงตัวของเราเองเท่านั้น ที่จะต้องขุดลึกลงไปในจิตใจ ความรู้สึก แล้วเจาะให้ทะลุทะลวงเปลือกที่เคย ตีกรอบปิดกั้นเราไว้ให้เข้าใจผิด มองเห็นตัวเองผิดมาตลอดเวลา 
     เราทุกคนต่างพยายามทำสิ่งนี้กันอยู่ตลอดเวลา ค้นหาจิตใจตัวตนที่แท้จริง เมื่อใครแค่เริ่มพยายามหา ก็ถือว่า คนนั้นเริ่มออกเดินทางแล้ว แล้วเราจะค่อยๆเรียนรู้ สิ่งต่างๆ ทั้งจากภายนอกตัวเรา จนถึงภายในตัวเรา และพัฒนาความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องขึ้นไปเรื่อย ก็จะมีแต่ดียิ่งขึ้น 
จนในที่สุด เมื่อเราเข้าใจตัวตนที่แท้จริง ของเราอีกระดับแล้ว เราจะเข้าใจว่าต่อแต่นี้ไป….ตัวเราคงไม่ไปตัดสิ่งต่างๆให้ขาด หรืออะไรที่ผิดวัตถุประสงค์ ในความเป็นตัวตนที่แท้จริงของเราเลย เพราะรู้แล้วว่ายังไงมันก็ไม่เวิร์ค บางคนอาจตัดสิ่งต่างๆ ได้ดีมากก็เพราะว่าเขาเป็นมีดดาบ  ซึ่งนั่นถูกต้องกับตัวเขาแล้ว แต่อาจไม่ใช่เราเสมอไปที่จะทำอย่างนั้นได้ 


 แล้วพวกคุณล่ะ........ รู้หรือยัง




บทความโดนใจ เรื่อง แซนวิซชิ้นละ 20 บาท กับเศรษฐศาสตร์ของชาวนา

      ผมได้ไปอ่านเจอบล็อกที่ให้ความรู้ดีๆ แนะนำเทคนิคการเขียน
บทความแบบ Walking Success Style
ซึ่งบทความข้างล่างนี้เป็นตัวอย่างที่คัดมาจาก บล็อกชื่อว่า walkingsuccess.com
ต้องขอขอบคุณมากๆ คับที่เขียนบทความดีๆ ที่เป็นประโยชน์
ลองอ่านดูไปพร้อมกันเลยคับ......

พ่อไม่ค่อยได้กินแซนวิซ

            เป็นคนไทยและอยู่ในวิถีชาวบ้าน เป็นเกษตรกร แซนวิซกับพ่อจึงเป็นสิ่งห่างไกลกัน ถ้าจะให้ใกล้ชิดก็คงจะเป็นพวกผักริมรั้ว ต้มแกง จิ้มน้ำพริก นั่นคงเป็นอาหารที่ถูกจริตกับพ่อมากกว่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพ่อจะไม่เคยกินแซนวิซ นอกจากเป็นชาวบ้าน เป็นเกษตรกรแล้ว พ่อยังเป็นพ่อค้า ขายของเร่ไปตามหมู่บ้าน เมื่อถึงคราวหิว หาร้านก๋วยเตี๋ยวไม่มี พ่อก็แวะร้านชำ ซื้อแซนวิซรองท้อง
            รสชาติมันแปลกกว่าแซนวิซที่พ่อกินวันนี้
            บนเวลายาวนานของการรอคอย โรงพยาบาลมีทุกอย่าง ทั้งความหวัง ยารักษาโรค และหมอหรือเทวดา มีทุกอย่างจริงๆ ยกเว้นความรวดเร็ว ผมกับพ่อนั่งเตร่อยู่สามชั่วโมง ก่อนพบว่าเวลาล่วงเลยมาถึงบ่ายโมง ท้องหิวแต่คิวรอรับยายังมาไม่ถึง ยังไม่ทันจะเอ่ย พ่อก็พูดออกมาก่อนว่า หาอะไรมากินรองท้องก่อน (แกท่าจะหิวจริง ปกติไม่ค่อยออกปาก) ผมอาสาไปหาของกิน ให้พ่อนั่งรอรับยา ใกล้สุดสายตาเป็นร้านกาแฟ ผมเลือกที่นั่น (จะว่าไปมันก็เหมือนมีที่เดียวนั่นแหละ ทั้งโรงพยาบาล) สั่งเอสเปรสโซ่ให้ตัวเอง น้ำเปล่าหนึ่งขวด และแซนวิซสองชิ้น ควักแบ้งค์ร้อยยื่นให้พนักงาน เงินทอนเหลือไม่พอให้ขอทานริมถนน
            มันเป็นแพคเก็ตที่งดงามและลำบากในการกิน บนเก้าอี้รอรับยา ไม่มีพื้นที่มากพอให้วางอะไรทั้งสิ้น ผมแกะแซนวิซบนตักส่งให้พ่อ แกกินไปหลายคำก่อนพูดออกมาว่า
            “แซนวิซที่นี่ไม่เหมือนบ้านเรา”
            “ยังไง” ผมถาม
            “มันอร่อยกว่า”
            ผมมึนเล็กน้อย ก่อนหยิบแซนวิซอีกชิ้นขึ้นมาดู พบว่ามันเป็นแซนวิซทูน่า พ่อคงไม่เคยกิน ก่อนอดขำและแซวไม่ได้
            “ไม่เคยกินอะน่อ”
            พ่อตอบว่า “เคยกินแต่ที่เป็นหมูหยองหรือไส้กรอก” อย่างหลังแกหมายถึงแฮม “เท่าไรนิ”
            “ยี่สิบบาท” ผมตอบพ่อ
            “โห มิน่ามันถึงอร่อย บ้านเราอันละสิบบาทเอง”

แซนวิซอันละ 20 บาท แพง?

            พ่อไม่ได้บอกว่าแพง แต่พ่อคิดเปรียบเทียบแซนวิซทูน่าอันละ 20 บาท กับแซนวิซหมูหยองฝืดคออันละ 10 บาท พ่อไม่ได้ว่าอะไร แต่แกเข้าใจว่าแพงกว่าเท่าตัว ณ ตอนนั้นผมฉุกคิดขึ้นมาได้เลยว่า พ่อทำงานหนักมาทั้งชีวิต ส่งผมเรียนหนังสือจนจบปริญญา โดยไม่เป็นหนี้สักบาท วันนี้หากแกเดินเข้าร้านเองแล้วพบว่าแซนวิซราคา 20 บาท แกคงไม่ซื้อกิน แกไม่ได้อด แต่คงไปหาซื้ออย่างอื่นกินมากกว่า
            มันก็กินได้เหมือนกัน – ผมว่าแกคิดแบบนั้น

ย้อนกลับมาที่ตัวเอง

            ผมนั่งกินกาแฟ ขนมปัง แซนวิซ หรือเค้ก โดยจ่ายเงิน 100 ได้เงินทอนน้อยกว่าจะเติมขันกฐินได้อย่างไม่คิดมาก ผมดื่มด่ำกับบรรยากาศและรสชาติโดยไม่ได้คำนึงถึงเงินที่เสียไป หรือแม้คำนึง ผมก็คิดว่ามันคุ้ม
            มันคุ้มจริงๆ เหรอ
            กลับกันวันนี้ผมเข้าตลาด ใช้จ่ายเงิน 100 ซื้อหมู ซื้อผักกลับไปทำกินที่บ้านได้ทั้งครอบครัว เหลือเผื่อไปถึงเจ้าดุ๊กดิ๊กหมาไฮเปอร์อีกต่างหาก
            ผมไม่ได้กำลังจะบอกให้ทุกคนปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ แค่อยากให้คำนึงถึงตัวอย่างของพ่อผมเอง ที่ผมเขียนขึ้นมา ผมไม่มีข้อสรุปอะไรเลยสำหรับบทความๆ นี้ เช่นเดียวกับที่พ่อก็ไม่ได้บอกผมว่า แซนวิซชิ้นนั้นมันแพงไป หรือสอนผมให้รู้จักใช้เงิน หรืออะไร ผมบอกได้แต่เพียงว่า ในขณะที่คุณใช้จ่ายในรูปแบบนี้ คนอีกหลายๆ คน กำลังใช้จ่ายในอีกรูปแบบหนึ่ง     
            รูปแบบที่ผมกำลังใช้จ่าย เป็นความพอใจ เป็นความสุข แต่กำลังพอกหนี้ผมเรื่อยๆ (ไม่ได้หมายความว่าผมกู้เงินมาซื้อแซนวิซกินหรอกนะ แต่คุณเองก็รู้ ว่าสถานะการเงินคุณเป็นเช่นไร)
            ขณะทีรูปแบบของพ่อ เป็นแบบนั้นมาตั้งแต่เกิด มีบ้าน มีรถ มีทรัพย์สิน ส่งผมเรียนจบปริญญาหมดเงินไปไม่รู้กี่แสนกี่ล้าน วันนี้ พ่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับผม ทำให้ผมอยากทำตามแบบพ่อ
          บางครั้งพ่อก็ไม่ได้จะสอน
          แต่พ่อก็เป็นคนสอน ผ่านสิ่งธรรมดาๆ อย่างแซนวิซชิ้นนั้น
หมายเหตุ : เรื่องนี้ผมลงไว้ครั้งแรกในบล็อก Salarymanblog จากนั้นนำไปลงใน Thaimao และ Pantip ซึ่งตอนนี้ผมทำเว็บนี้ WalkingSuccess เว็บเดียวจึงได้นำเรื่องราวดีๆ มาแบ่งปันไว้ในที่นี้ด้วยครับ

***คัดลอกมาจาก  credit :http://walkingsuccess.com/sanwich-and-farmer/

วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

น่าสนใจ Amethyst stalactite

อเมทิสต์ ลักษณะนี้ เรียกกันว่า อเมทิสต์ 
สตาแลคไทท์
(Amethyst Stalactite) มีลักษณะสูงเป็นแท่ง เมื่อนำไปหั่นเป็นแว่น จะได้ อเมทิสต์ ฟลาวเวอร์ อันสวยงามคับ


อันนี้เป็น stalactite ที่สูงยาวมากๆ คับ



เมื่อตัดผ่าออกมา จะเป็นflower ฟิ๊ง !! สวยงามมาก 






ดูกันชัดๆ อีกรอบคับ

วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เที่ยวงาน cat T shirt 30 may 2015

       

          วันนี้จะไปงาน cat redio T shirt ไอ้ปั้นเพื่อนมันชวนไปตั้งแต่กลางๆ เดือน ค่าบัตรไม่แพงมาก 200 บาท 
ก็ตกลงไปกัน กับไอ้หิน ต้องเอารถ เบนซ์ ของพ่อหินไป เพราะว่าพ่อหิน เอาไปใช้ซื้อกระเบื้องที่ กทม . เลยต้องใช้รถของพ่อ ซึ่งมันกินน้ำมันไวมาก 55
พอถึงบ้านปั้นก็ไป รถคันเดียวกับปั้น (รถford ranger กระบะสายโหด) ไปที่สถานีรถไฟฟ้า airportrail link มักกะสัน เมื่อถึงที่งานก็จ่ายค่าบัตร แล้วไปเดินเลือกดูเสื้อ มีหลากหลาย สวยๆ เท่ เลือกไม่ถูก แต่ราคาก็ไม่ถูกเหมือนกัน มีตั้งแต่ 200-400บาท ขึ้นไป แต่เป็นเสื้อของวงดนตรีต่างๆ มาทำเสื้อวงขาย เป็นออกแนวอินดี้ และมีดนตรี อยู่ที่ลานด้านข้าง ตลอดงาน 
     ก็เดินเลือกดูเสื้อ สลับกับออกไปดูดนตรี ข้างนอกลานดนตรี อากาศร้อนอบพอสมควร แต่ยังดีที่ลานขายเสื้อมีแอร์ จนกระทั่ง ช่วงเย็น ดนตรีวงต่างๆ เริ่ม ใัน สนุกมากขึ้น เรื่อยๆแต่ยืน นานก็เกิดอาการล้า เมื่อยขา เมื่อยหลัง ไปตามๆกัน แต่ก็อดทน เพื่อรอดู วงเจ๋งๆ ที่กำลังจะขึ้นเล่นในเร็วๆ นี้ 
      ส่วนวงที่ประทับใจ ในโชว์ของพวกเขา ก็มีวง ชื่อ Aire เป็นดนตรีบรรเลงแนวร็อคคล้ายๆ วง lomosonic. บอกได้เลยว่าเล่นสุดมาก พีค แสดงพลังออกมาได้ชัดเจนและดนตรีดีมาก รู้สึกประทับใจมาก


    

    ที่พลาดไม่ได้คือวงปิดงานของเรา ก็คือวงLomosonic นั่นเอง วันนี้เพิ่งเคยดู พวกพี่ๆ เขาเล่นสดครั้งแรก แต่เคยติดตามงานมาพักนึงแล้ว ชอบใจในงานของพวกเขาเป็นส่วนตัวอยู่แล้ว ด้วย วันนี้จึงได้ดูเล่นสดที่ ร่ำลือว่า สุดๆ  แล้วก็พบว่าพวกพี่ๆ เขาสุด กันจริงๆ เรื่องการโชว์ โดยเฉพาะนักร้องนำ พี่บอย นี่สุดยอดมากในเรื่องของพลัง และเสียงที่สูงปรี๊ด แบบ ร็อค และทุกคนก็ไม่เคยผิดหวังเพราะโชว์ มันมากเอาคนดู อยู่หมัด


   
เมื่อจบโชว์แล้ว ก็ตามพี่ๆ เขาไป ที่บูตขายเสื้อวง เพื่อขอถ่ายรูป และขอลายเซน สมาชิก ในวง และก็ได้มาทุกคนเลย ซึ่งพี่ๆเขาเป็นมิตรมาก เข้าถึงได้ไม่ยากในการพูดคุย ขอบคุณพี่ๆ ทุกคนในวงด้วยคับ ที่ให้พลัง!! 



     เมื่อเสร็จจาก งานแล้ว ก็ ออกเดินทางไป บางซ่อน ใกล้กับ ม พระนครเหนือ มีตลาด ชื่อ ตลาดยิปซี เป็นตลาดแนว วินเทจ คล้ายๆ กับตลาดรถไฟ แต่การเดินง่ายกว่าและบรรยากาศเงียบกว่า ชอบแนวนี้อยู่แล้ว
เดินดูร้านต่างๆ ซึ่งมีหลายร้านที่แต่งร้านดีมาก นเป็นร้านแนวนั่งดื่ม มีดนตรีเพราะเล่นดี บรรยากาศโอเค
เหมาะจะมาเยือนอีกครั้ง เมื่อมีโอกาศ ในคราวหน้า
       จากนั้นเดินทางกลับบ้านปั้น พักผ่อน หลับไม่รู้เรื่องเลย นอนหลับสบายมาก เพราะเหนื่อย มาทั้งวัน.